วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กล้วย



กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษในเรื่องของสาร ต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้นหรือเกิน 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็เริ่มมาเยือน ช่วงนี้เอง มี 2 สิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นในร่างกายเราซึ่งก็คือ เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ก็จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น และส่วนที่สองคือ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ ก็ลดลง ในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม

การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น

นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการทดลองผู้ป่วย 46 คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา

พบว่าผ่านไป 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปแบบผงก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้

ส่วนใครที่ชอบกินกล้วยหอม รู้ไว้เลยว่า การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารได้

ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี ก็อย่าลืมหันมาทานกล้วยกัน

มะพร้าว


ในผลมะพร้าวอ่อนจะมีน้ำอยู่ภายใน เรียกว่าน้ำมะพร้าว ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม

นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค และเป็นสารละลายไอโซโทนิก(สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ซึ่งไม่ทำให้เซลล์เสียรูปทรง) ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน(หลอดเลือดดำ) ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้

น้ำผึ้ง

องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่


น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต


รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น

นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เก๋ากี๋ รักษาโรค



ปวดหลัง ปวดเอว
เก๋ากี้ และ โต่วต๋ง จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน หรือใช้ปรุงอาหาร

บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย
เก๋ากี้ ตังกุย โสมคน เส็กตี่ ปาเก็ก อย่างละพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน

บำรุงประสาท กล่อมประสาท ทำให้หลับสบาย
เม็ดเก๋ากี้ เนื้อลำไยแห้ง อย่างละ 1 ลิตร เติมน้ำ 10 ลิตร ต้มจนเนื้อยาเปื่อย กรองเอากากยาทิ้ง เคี่ยวต่อจนได้น้ำข้นๆ รับประทานครั้งละ 2 – 3 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆครั้ง

แก้อาการตามัว ตาบอดกลางคืน
ดอกเก๊กฮวย ปาเก็ก และเก๋ากี้ จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อาการฉี่กะปริดกะปรอย ฉี่ขัด ปวดท้องหน่วงตอนฉี่ หรืออาจจะเป็นไข้ เป็นอาการแรกเริ่มในการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและมักเกิดกับผู้หญิงมากกกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้น เชื้อแบคทีเรียบริเวณปากท่อจึงเข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย

นอกจากนั้น เพศหญิงมักจะกลั้นปัสสาวะ เนื่องจากความไม่สะดวกระหว่างนั่งรถทางไกล หรือ รังเกียจห้องน้ำที่ไม่สะอาดและไม่คุ้นเคย เชื้อโรคที่เข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะจึงไม่สามารถถูกขับออกอย่างรวดเร็ว และมีเวลาเพิ่มจำนวนขึ้นจนมากพอที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบ

หญิงตั้งครรภ์ ผู้เป็นโรคเบาหวาน การร่วมเพศ การต้องใช้สายสวนท่อปัสสาวะ อาจทำให้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบง่ายขึ้นเช่นกัน

หากไม่รักษาจะเป็นเรื้อรังและเชื้อโรคลุกลามขึ้นไปทำให้ไตอักเสบได้

อาการ ผู้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะปวดปัสสาวะบ่อย แต่ถ่ายออกกะปริดกะปรอยครั้งละน้อย ปวดแสบท่อปัสสาวะและปวดท้องน้อยเวลาถ่ายสุด อาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะหรือเป็นเลือดสดๆ หยดออกมาเมื่อปัสสาวะสุด แต่ไม่มีไข้

ไม่อยากเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรดูแลตัวเองดังนี้ค่ะ
1.ดูแลพื้นที่ส่วนตัวให้สะอาดแห้งอยู่เสมอ (พกกระดาษทิชชู่ติดตัวไว้เสมอนะคะ)
2.เช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง อย่าเช็ดแบบย้อนศร เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
3.ดูแลห้องน้ำ โถส้วมให้สะอาด
4.ใส่เสื้อผ้าโปร่งสบาย ไม่ใส่กางเกงที่คับติ้วเกินไป
5.ใช้ชุดชั้นในเป็นผ้าฝ้าย หรือบางวันก็ไม่ใส่ก็ได้ค่ะหากอยู่บ้าน หรือเวลานอนก็ไม่สวมก็ได้ค่ะ
6.เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเกิดอาการฉี่ขัด ดื่มน้ำมากๆช่วยขับถ่ายเชื้อโรคออกทางปัสสาวะ หรือเหงื่อมากขึ้น พักผ่อนให้พอ ร่างกายจะได้แข็งแรงมีภูมิต้านทานเชื้อโรคได้

เช็คโรคจากอาการปวดท้อง

ใครที่มักจะปวดท้องบ่อย ๆ แต่ไม่รู้ว่าปวดท้องเพราะอะไร เรามีวิธีการเช็คโรคจากอาการปวดท้องมาบอก...

- ปวดท้องด้านขวาตอนบน ความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้อง มักเกิด จากโรคตับและถุงน้ำดี

- ปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร แอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลงมา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาการไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้เช่นเดียวกัน บางครั้งโรคต่างๆที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่เป็นแอ่งได้

- ปวดท้องส่วนกลาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุมาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มขึ้นที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง

- ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นหมายถึงอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ

- ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน อาการอักเสบของลำไส้

- ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกันพร้อมกับ อาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis)

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เร่งการเผาผลาญด้วยการดื่มน้ำ




ในร่างกายของเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกาย แต่ทำไมดื่มน้ำเป็นลิตรจึงไม่อ้วน แถมการดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยลดไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่เราทราบกันดี แต่ดื่มน้ำยังช่วยในการละลายไขมันอีกด้วย เพราะตามปกติแล้วการดื่มน้ำในปริมาณที่ร่างกายต้องการ จะช่วยให้ตับทำงานได้เต็มที่ ซึ่งหน้าที่หลักของตับนั้นก็จะช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ตามซอกหลืบของร่างกายให้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้ และน้ำก็ยังเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยให้การเผาผลาญไขมันดีขึ้น แต่ถ้าร่างกายขาดน้ำ ก็จะทำให้ตับทำงานไม่เต็มที่ การเผาผลาญไขมันก็ลดลงด้วย

การดื่มน้ำน้อยจึงส่งผลให้การเผาผลาญไขมันทำได้น้อย อาหารที่กินเพิ่มเข้าไป จะไปเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการพยายาม ดื่มน้ำให้มากขึ้นอีกนิด เพื่อช่วยลดการสะสมของไขมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจใช่ไหมคะ

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง


การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึงนะจะบอกให้


การดื่มน้ำเ มื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี
ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ( ก่อนแปรงฟัน )

เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์
พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100%
( แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา )

ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู
โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ
โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร
โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการปฏิบัติ

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)

2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม
หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ

3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที
ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป

4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว
ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว
จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด
ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ1-2ชั่วโมงก็จะปวดปัสสาวะ

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หัวใจโต ( 2 )

ตอนที่ 2 ของหัวใจโต ค่ะ

รู้ได้อย่างไรว่าหัวใจโต
ภาวะหัวใจโตไม่จำเป็นต้องมีอาการผิดปกติใดๆ หากจะมีอาการก็จะเป็นอาการเนื่องจากโรคที่เป็นต้นเหตุ และอาการจาก หัวใจล้มเหลว เช่น เหนื่อยง่าย หอบ แน่นหน้าอก เป็นต้น การตรวจร่างกายจะบอกได้หากหัวใจมีขนาดโตมาก แต่โดยทั่วไปแล้ว การตรวจร่างกายจะมุ่งหาสาเหตุของหัวใจโต มากกว่าที่จะ บอกขนาดของหัวใจ

การตรวจที่จำเป็นคือคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และ เอกซเรย์ทรวงอก (ปอดและหัวใจ) หากกล้ามเนื้อหัวใจหนากว่าปกติมาก หรือ เคยมีปัญหา กล้ามเนื้อหัวใจตายมาก่อน จะแสดง ให้เห็นจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการตรวจที่มีความไวต่ำ หมายความว่า แม้คลื่นไฟฟ้า หัวใจปกติ ก็มิได้หมายความว่าหัวใจไม่โต หรือ ไม่มีโรคหัวใจขาดเลือด คลื่นไฟฟ้าหัวใจอาจบอกว่าโต แต่จริงๆแล้วไม่โตก็ได้ เอกซเรย์ ทรวงอกบอกขนาด หัวใจได้ดีพอสมควร แต่ก็ผิดพลาดได้ง่าย เพราะขึ้นกับเทคนิค ระยะห่างระหว่างหัวใจกับฟิล์ม การหายใจ เป็นต้น บ่อยครั้งที่ดูว่าหัวใจโตจากเอกซเรย์ แต่จริงๆแล้วขนาดหัวใจปกติ ไม่โตเลย

ในทางกลับกันเอกซเรย์บอกว่าปกติแต่ความจริงมีกล้ามเนื้อหัวใจหนากว่าปกติมากก็เป็นได้ ต้องเข้าใจว่า การตรวจเหล่านี้ ล้วนมีข้อจำกัดทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่แพทย์สั่งตรวจพิเศษเหล่านี้หลายๆอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุด เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการให้ความเห็นและรักษา กรุณาอย่าคิดว่าแพทย์สั่งตรวจมากๆเพราะไม่เก่งหรือเพราะต้องการค่าแพทย์มากๆ

เป็นแล้วรักษาอย่างไร
การรักษาภาวะหัวใจโต คือการรักษาตามสาเหตุ เช่น รักษาความดันโลหิตสูง ผ่าตัดลิ้นหัวใจ หรือรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้น แม้ว่าการรักษาอาจ ไม่ได้ลดขนาดหัวใจลงให้เห็นได้ชัดเจนจากเอกเรย์ในบางราย แต่การรักษาจะช่วยป้องกันไม่ให้โตขึ้นเรื่อยๆได้

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หั ว ใ จ โ ต (1)

“คุณหมอครับ วันนี้ผมพาคุณแม่มารักษาโรคหัวใจโตครับ”
“หมอคะ...หัวใจโตไหมคะ เคยมีคุณหมอบอกว่าโตกว่าปกติ ต้องระวังตัว”
“ผมเป็นโรคหลายโรคครับ ทั้งความดัน เบาหวาน หัวใจโต”

คำถามเหล่านี้ได้ยินกันเสมอในหมู่อายุรแพทย์ และ แพทย์โรคหัวใจ เป็นความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อยๆ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มี “โรคหัวใจโต” มีแต่ “ภาวะหัวใจโต” ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ หัวใจก็เป็นอวัยวะเช่นเดียวกันกับอวัยวะอื่นๆ เมื่อต้องทำงาน หนักมากกว่าปกติ หรือมีปัญหาอื่นๆ ก็อาจทำให้ขนาดหัวใจโตขึ้น ดังนั้น หัวใจที่โตขึ้นจึงไม่ใช่ “โรค” แต่เป็นผลตามมา เนื่องจากโรคอื่นๆ


หัวใจโต โตจากอะไร


ขนาดหัวใจที่โตกว่าปกตินั้น อาจแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ โตจากกล้ามเนื้อที่หนาตัวกว่าปกติ ลองนึกภาพคนเล่นกล้าม นักเพาะกาย กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น เพราะทำงานหนัก กล้ามเนื้อหัวใจก็เช่นกัน หากต้องทำงานหนัก บีบตัวมากๆ เช่น ในกรณีความดันโลหิตสูง หรือ ลิ้นหัวใจตีบ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนา ขึ้นได้
อีกประการหนึ่งคือขนาดของหัวใจโตขึ้นเพราะกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวไม่ดี มีเลือด คั่งค้างในห้องหัวใจมากคล้ายลูกโป่งใส่น้ำ ทำให้ขนาดโตขึ้น มีหลายโรคที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจ ที่เป็นดาราประจำก็ คือ ความดัน โลหิตสูง ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว หัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย เบาหวาน เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้วโรคของกล้ามเนื้อหัวใจที่หนา กว่าปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคหัวใจจากแอลกอฮอล์ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งเช่นกัน

ครั้งหน้าเราจะมากล่าวถึง รู้ได้อย่างไรว่าหัวใจโต และเมื่อเป็นแล้วรักษาอย่างไร

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แนะเคล็ด (ไม่) ลับ ยับยั้งความแก่ ( ครั้งที่ 2 )




วันนี้เรามาต่อเรื่องเคล็ดไม่ลับฯ กันต่อนะค่ะ

อันที่สองคืออย่ากินให้อิ่มจนเกินไป โดยเฉพาะแป้งกับน้ำตาล พูดง่ายๆ คือให้หิวนิดๆ สังเกตง่ายๆ เวลาเราหิวนิดๆ สมองจะโล่งขึ้นทันที สมองจะทำงานดี แต่ไม่ถึงขนาดหิวจนเห็นช้างเท่าหมูอันนั้นก็ไม่ไหว

อาหาร 5 หมู่ จริงๆ เป็นเรื่องมาตั้งแต่นานแล้ว สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ต้องการที่จะให้คนไทยกินอาหารครบ แต่ตอนนี้ในเวทีโลกเขาจะเรียกว่าอาหารฟังก์ชันนันฟูด ก็คืออาหารที่มากกว่าอาหาร

แป้งจริงๆ มีอยู่ในผักด้วย คะน้าก็มีแป้ง ฟักทองก็มีแป้ง เพราะฉะนั้นถ้าเรากินผักก็ไม่ได้ขาดแป้ง มันก็ครบ 5 หมู่เหมือนกัน คือจริงๆ รับประทาน 5 หมู่ก็ดีครับ เพียงแต่ว่าเราไม่จำเป็นจะต้องเน้นว่าแป้งจะต้องเป็นข้าวอย่างเดียว เรากินแป้งจากผักผลไม้ก็ได้

จริงๆ ถ้าเน้นเป็นสีเข้มจะดี ไม่จำเป็นจะต้องหลากสีทุกอย่าง คือสีจะมีคุณค่าต่างกัน เราจะเน้นที่สีเขียว เพราะว่าสีเขียวจริงๆ มีสีอื่นอยู่ในนั้นด้วย อย่างคะน้าจริงๆ ก็มีสีแดงของวิตามินเออยู่ในนั้น เพียงแต่ว่าสีเขียวกลบหมดเลยไม่เห็น เพราะฉะนั้นถึงให้เลือกผักที่สีเขียวเข้มไว้ยิ่งดีค่ะ แปลว่าจะต้องมีอะไรที่ผสมอยู่แล้ว และต้องสดจะดีกว่า หรือว่าจะนึ่งจะลวกก็ได้

อย่างคะน้าหมูกรอบน้ำมันหอย ก็ได้เลย แต่ว่าหมูกรอบอาจจะต้องรับประทานน้อยสักนิด เพราะว่าในน้ำมันจะดึงวิตามินเอเข้าสู่ร่างกาย วิตามินเอจะละลายในไขมัน ถ้าเรากินแต่คะน้าอย่างเดียวไม่ได้วิตามินเอ เพราะวิตามินเอไม่ซึม ได้น้ำมันหอยหรือน้ำมันพืชสักนิดก็ดีบางคนไปกินดิบๆ เลย อันนั้นก็ได้แต่ว่าค่อนข้างหนักไปนิดหนึ่ง เพราะว่า บางทีพอกินดิบอาหารบางอย่างมีพิษครับ อย่างมะเขือเทศส่วนเขียวๆ มีพิษนะ ถ้าเรากินไปเยอะๆจะคลื่นไส้ เพราะฉะนั้นบางอย่างทำสุกไว้ก่อนก็จะดี


วันนี้ขอนำเสนอแค่นี้ก่อนนะค่ะ วันหน้าจะมาเสนอเพิ่มเติมอีกค่ะ

แนะเคล็ด (ไม่) ลับ ยับยั้งความแก่ ( ครั้งที่ 1 )

อายุรวัฒน์เป็นศาสตร์ใหม่ เรียกว่าเป็นการชะลอความชรา ภาษาอังกฤษเรียกว่า Anti-Aging Medicine จุดประสงค์เพื่อให้คนไข้เป็นหมอที่ดีที่สุดของตัวเอง แล้วก็ให้สุขภาพดีโดยไม่ต้องพึ่งยาเป็นกำมือ ถ้าอายุรแพทย์จะดูแลโรคเด็ก โรคผู้ใหญ่ แต่ก็ไปด้วยกันได้ อายุรวัฒน์จะช่วยดูแลเรื่องจิตใจด้วยนะ

อันดับแรกคือชะลอได้จริงๆ ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็จะเป็นเรื่องที่มีหลายประเด็น วิธีที่จะชะลอความแก่ง่ายๆ ด้วยตัวเอง อันดับแรกก็คือต้องนอนให้พอ นอนฟังดูเหมือนง่าย แต่จะต้องนอน 4 ทุ่มตื่น 6 โมงเช้า ถึงจะมีตัวธาตุหนุ่มสาวหลั่ง

จริงๆ แล้วเวลาหรือว่าปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ คุณภาพคือนอน 8 ชั่วโมง แล้วเป็นช่วงที่ได้จังหวะคือนอน 4 ทุ่มตื่น 6 โมง เช้าด้วย เพราะหลังจาก 4 ทุ่ม จะไม่ค่อยหลั่งดี มีช่วงเวลาเรียกว่าเหมือนนาทีทอง ธาตุหนุ่มสาวก็คือโกรตฮอร์โมน

เรียกง่ายๆ ถ้าสมมติว่าเรานอนตอน 4 ทุ่ม จะเริ่มหลั่งตอนเที่ยงคืน แต่ถ้าเราไปนอนเที่ยงคืนหลั่งไม่ทันแล้ว ร่างกายต้องได้พักโดยหลับแบบสนิท ได้หลับเต็มที่ คือหลับแบบไม่มีฝันหรือฝันแต่เราจำไม่ได้ครับ ถ้าตื่นมาแล้วจำฝันได้อาจจะแปลว่าเราหลับไม่สนิท ถามว่ามานอนเพิ่มตอนกลางวันได้หรือเปล่า ได้แต่ไม่อยากให้นอนเยอะเพราะกลางวันไม่ค่อยหลั่งธาตุนี้แล้ว เป็นเคมีในร่างกาย

คราวหน้าจะมาเล่าสู่กันฟังต่อนะค่ะ หวัดดีค่ะ

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด สร้างภูมิต้านทานโรค

หลายคนคงสงสัยว่า การรับประทานอาหารมีอิทธิพลอะไรขนาดนั้นเชียวหรอ.. ขอตอบแบบเต็มปากเต็มคำว่า จริง!!
กรุ๊ป A
มังสวิรัติเหมาะมาก... คุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง เลี่ยงเนื้อสัตว์ และทานข้าวกล้องและถั่วช่วยเสริม เลี่ยงอาหารสำเร็จรูปเพราะมีไนเตรทที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะ วัยกลางคนควรทานนมถั่วเหลือง, โยเกิร์ต, ปลาแซลมอน และลดกรดในกระเพาะด้วยการทานบร็อคโคลี, มะนาว,,สับปะรด, เชอร์รี่และผักใบเขียว
กรุ๊ป AB
คนเลือดกรุ๊ปนี้ผลิตน้ำย่อยไม่เพียงพอต่อการย่อยของโปรตีน ข้าวและแป้ง มีประโยชน์ แต่ควรกินตามความเหมาะสม มีภูมิคุ้มกันน้อย ควรจะรับประทานผักสดมากๆ เพื่อช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง หลีกเลี่ยงผลไม้ เช่น ส้ม, ฝรั่ง, กล้วย และมะม่วง ส่วนสับปะรด และ ส้มโอ ช่วยเรื่องการย่อยได้ดีมาก
กรุ๊ป B
เหมาะจะรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ ยกเว้นเนื้ออกไก่ที่เสี่ยงเป็นโรคภูมิกันบกพร่อง และเส้นเลือดแตกหรือดิบในสมอง สนุกสนานกับการทานอาหารประเภทนมเนยได้แบบไม่อั้น
ผักใบเขียวมีประโยชน์มาก แต่ที่ห้ามเด็ดขาด คือ มะเขือเทศ ที่มีสารรบกวนผนังกระเพาะ ผลไม้ทานได้ไม่ยั้ง
รุ๊ป O
เสี่ยงเป็นโรคลำไส้อักเสบ เลือดไม่แข็งตัว และ ไทรอยด์ ควรรับประทานอาหารทะเลบ่อยๆ และเนื้อสัตว์, ปลา, ผัก และ ผลไม้ เพราะมีระบบย่อยเนื้อแดงดีเยี่ยม ถ้าลดน้ำหนักไม่ควรรับประทานข้าวโอ๊ตหรือแป้งสาลี เพราะจะทำให้เกิดไขมันสะสม ดื่มไวน์ได้ แต่ควรเว้น ชา กาแฟ เบียร์ ที่ช่วยเพิ่มกรดในกระเพาะที่มีมากอยู่แล้ว
หวังว่าเพื่อน ๆ คงได้ประโยชน์จากการบทความนี้นะค่ะ คราวหน้าจะมาแนะเคล็ด(ไม่)ลับยับยั้งความแก่กันนะค่ะ

การดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือดมาบอกกันจ้า...


คนที่มีกรุ๊ปเลือด A
จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม

ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ
ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

คนที่มีกรุ๊ปเลือด B
เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์ แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB
เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่

ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทน

ไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

คนที่มีเลือดกรุ๊ป O
ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้

คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก

ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

ไม่ว่าจะกรุ๊ปเลือดไหนก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี.


วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เห็ดหลินจือ


เห็ดหลินจือกับโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นคว้าและวิจัยถึงสารออกฤทธิ์และสรรพคุณทางยาของเห็ดหลินจือพบว่าภายในเห็ดหลินจือมีสารที่ช่วยผู้ป่วยความดันหิตสูงได้ คือ กลุ่มสารไตรเทอร์ปินนอยด์ชนิดขม ( Bitter Triterpenoids ) ซึ่งสารในกลุ่มนี้มีตัวยาที่ช่วยผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง คือ กรดกาโนเดอริค ( Ganoderic acid A, B, C1, C2, D-K, R-Z ) และ กรดลูซิเดนิค (Lucidenic acid) ซึ่งเป็นตัวยาช่วยลดความดันโลหิตได้( ACE- inhibitoryactivity ) รวมถึงยังมีผลในการป้องกันการอุดตันในเส้นเลือดของผู้ป่วยและยังไม่ป่วย ( Antiartherogenic ) ทั้งนี้ยังทำหน้าที่ช่วยบำบัดรักษาในเส้นเลือดหลังเกิดการอุดตันมาแล้ว ( Antiarteroselerotic )
นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาทางคลินิกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นมีการใช้เห็ดหลินจือที่เป็นยาสกัด รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง 53 ราย เป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าความดันโลหิตลดลงได้ 10 – 29 มิลลิเมตรปรอท = 57.5 %
ปัจจุบันพบว่าได้มีการจดสิทธิบัตรสารไทรเตอร์ปินนอยด์แฟรกชั่นของเห็ดหลินจือ ทำเป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยมีข้อบ่งชี้ใช้เป็นยาลดความดันโลหิต เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าโรคความดันโลหิตสูง สมุนไพรเห็ดหลืนจือก็มีส่วนช่วยได้

healths

ประโยชน์ของเห็ดสามอย่าง


เห็ด เป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อย่างโปแตสเซียมซึ่งช่วยลดความดันโลหิต และซีลีเนียมซึ่งเป็นตัวสารต้านมะเร็ง รวมทั้งยังมีวิตามินต่างๆ และกรดอะมิโนต่างๆ ที่ร่างกายต้องการในปริมาณพอสมควร การกิน "เห็ดสามอย่าง" ก็จะยิ่งได้ประโยชน์ยิ่งกว่ากินเห็ดเพียงอย่างเดียว เหมือนกับส่วนผสมของดินปืน ที่เมื่อแยกส่วนออกมาแต่ละตัวแทบจุดไม่ติดไฟ แต่พอนำมารวมกันก็กลายเป็นระเบิด ในหนังสือ "นาฬิกาชีวิต" ของ อ.สุทธิวัสส์ คำภา บอกว่า เห็ดสามอย่างเมื่อรวมกันนั้นจะมีค่ากรดอะมิโนที่สามารถลดอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ทั้งยังช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ สารเคมีจากเครื่องสำอาง และพิษจากสารอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังล้างไขมันในตับ ทำให้ตับเเข็งแรง สร้างเม็ดเลือดแดงได้ดี


การกินเห็ดสามอย่างที่ว่านี้ ก็คือเห็ดอะไรก็ตามที่กินได้ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดเข็มทอง ฯลฯ และจะนำมาทำแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ย่าง หรือทำอาหารประเภทใดก็ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน นอกจากนั้นยังต้มเป็นน้ำซุปเห็ดดื่มก็ได้ด้วยโดยการนำเห็ดอะไรก็ได้ 3 อย่าง มาล้าง หั่นและนำไปต้มรวมกันในน้ำสะอาด ใส่มะตูมแว่นที่ปิ้งจนหอมมาต้มรวมกัน ดื่มแทนน้ำซุปได้ ส่วนเนื้อเห็ดนำไปทำอาหารอื่นๆ ได้อีกด้วย