วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552
กล้วย
กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษในเรื่องของสาร ต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้นหรือเกิน 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็เริ่มมาเยือน ช่วงนี้เอง มี 2 สิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นในร่างกายเราซึ่งก็คือ เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ก็จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น และส่วนที่สองคือ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ ก็ลดลง ในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น
นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการทดลองผู้ป่วย 46 คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา
พบว่าผ่านไป 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปแบบผงก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้
ส่วนใครที่ชอบกินกล้วยหอม รู้ไว้เลยว่า การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารได้
ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี ก็อย่าลืมหันมาทานกล้วยกัน
มะพร้าว
ในผลมะพร้าวอ่อนจะมีน้ำอยู่ภายใน เรียกว่าน้ำมะพร้าว ใช้เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียม
นอกจากนี้น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติปลอดเชื้อโรค และเป็นสารละลายไอโซโทนิก(สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ซึ่งไม่ทำให้เซลล์เสียรูปทรง) ซึ่งด้วยเหตุนี้จึงสามารถนำน้ำมะพร้าวไปใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดเวน(หลอดเลือดดำ) ในผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำหรือปริมาณเลือดลดผิดปกติได้
น้ำผึ้ง
องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต
รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น
นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ
เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต
รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น
นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ
เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี
วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เก๋ากี๋ รักษาโรค
ปวดหลัง ปวดเอว
เก๋ากี้ และ โต่วต๋ง จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน หรือใช้ปรุงอาหาร
บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย
เก๋ากี้ ตังกุย โสมคน เส็กตี่ ปาเก็ก อย่างละพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน
บำรุงประสาท กล่อมประสาท ทำให้หลับสบาย
เม็ดเก๋ากี้ เนื้อลำไยแห้ง อย่างละ 1 ลิตร เติมน้ำ 10 ลิตร ต้มจนเนื้อยาเปื่อย กรองเอากากยาทิ้ง เคี่ยวต่อจนได้น้ำข้นๆ รับประทานครั้งละ 2 – 3 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆครั้ง
แก้อาการตามัว ตาบอดกลางคืน
ดอกเก๊กฮวย ปาเก็ก และเก๋ากี้ จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
อาการฉี่กะปริดกะปรอย ฉี่ขัด ปวดท้องหน่วงตอนฉี่ หรืออาจจะเป็นไข้ เป็นอาการแรกเริ่มในการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและมักเกิดกับผู้หญิงมากกกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้น เชื้อแบคทีเรียบริเวณปากท่อจึงเข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย
นอกจากนั้น เพศหญิงมักจะกลั้นปัสสาวะ เนื่องจากความไม่สะดวกระหว่างนั่งรถทางไกล หรือ รังเกียจห้องน้ำที่ไม่สะอาดและไม่คุ้นเคย เชื้อโรคที่เข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะจึงไม่สามารถถูกขับออกอย่างรวดเร็ว และมีเวลาเพิ่มจำนวนขึ้นจนมากพอที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบ
หญิงตั้งครรภ์ ผู้เป็นโรคเบาหวาน การร่วมเพศ การต้องใช้สายสวนท่อปัสสาวะ อาจทำให้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบง่ายขึ้นเช่นกัน
หากไม่รักษาจะเป็นเรื้อรังและเชื้อโรคลุกลามขึ้นไปทำให้ไตอักเสบได้
อาการ ผู้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะปวดปัสสาวะบ่อย แต่ถ่ายออกกะปริดกะปรอยครั้งละน้อย ปวดแสบท่อปัสสาวะและปวดท้องน้อยเวลาถ่ายสุด อาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะหรือเป็นเลือดสดๆ หยดออกมาเมื่อปัสสาวะสุด แต่ไม่มีไข้
ไม่อยากเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรดูแลตัวเองดังนี้ค่ะ
1.ดูแลพื้นที่ส่วนตัวให้สะอาดแห้งอยู่เสมอ (พกกระดาษทิชชู่ติดตัวไว้เสมอนะคะ)
2.เช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง อย่าเช็ดแบบย้อนศร เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
3.ดูแลห้องน้ำ โถส้วมให้สะอาด
4.ใส่เสื้อผ้าโปร่งสบาย ไม่ใส่กางเกงที่คับติ้วเกินไป
5.ใช้ชุดชั้นในเป็นผ้าฝ้าย หรือบางวันก็ไม่ใส่ก็ได้ค่ะหากอยู่บ้าน หรือเวลานอนก็ไม่สวมก็ได้ค่ะ
6.เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเกิดอาการฉี่ขัด ดื่มน้ำมากๆช่วยขับถ่ายเชื้อโรคออกทางปัสสาวะ หรือเหงื่อมากขึ้น พักผ่อนให้พอ ร่างกายจะได้แข็งแรงมีภูมิต้านทานเชื้อโรคได้
นอกจากนั้น เพศหญิงมักจะกลั้นปัสสาวะ เนื่องจากความไม่สะดวกระหว่างนั่งรถทางไกล หรือ รังเกียจห้องน้ำที่ไม่สะอาดและไม่คุ้นเคย เชื้อโรคที่เข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะจึงไม่สามารถถูกขับออกอย่างรวดเร็ว และมีเวลาเพิ่มจำนวนขึ้นจนมากพอที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบ
หญิงตั้งครรภ์ ผู้เป็นโรคเบาหวาน การร่วมเพศ การต้องใช้สายสวนท่อปัสสาวะ อาจทำให้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบง่ายขึ้นเช่นกัน
หากไม่รักษาจะเป็นเรื้อรังและเชื้อโรคลุกลามขึ้นไปทำให้ไตอักเสบได้
อาการ ผู้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะปวดปัสสาวะบ่อย แต่ถ่ายออกกะปริดกะปรอยครั้งละน้อย ปวดแสบท่อปัสสาวะและปวดท้องน้อยเวลาถ่ายสุด อาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะหรือเป็นเลือดสดๆ หยดออกมาเมื่อปัสสาวะสุด แต่ไม่มีไข้
ไม่อยากเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรดูแลตัวเองดังนี้ค่ะ
1.ดูแลพื้นที่ส่วนตัวให้สะอาดแห้งอยู่เสมอ (พกกระดาษทิชชู่ติดตัวไว้เสมอนะคะ)
2.เช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง อย่าเช็ดแบบย้อนศร เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
3.ดูแลห้องน้ำ โถส้วมให้สะอาด
4.ใส่เสื้อผ้าโปร่งสบาย ไม่ใส่กางเกงที่คับติ้วเกินไป
5.ใช้ชุดชั้นในเป็นผ้าฝ้าย หรือบางวันก็ไม่ใส่ก็ได้ค่ะหากอยู่บ้าน หรือเวลานอนก็ไม่สวมก็ได้ค่ะ
6.เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเกิดอาการฉี่ขัด ดื่มน้ำมากๆช่วยขับถ่ายเชื้อโรคออกทางปัสสาวะ หรือเหงื่อมากขึ้น พักผ่อนให้พอ ร่างกายจะได้แข็งแรงมีภูมิต้านทานเชื้อโรคได้
เช็คโรคจากอาการปวดท้อง
ใครที่มักจะปวดท้องบ่อย ๆ แต่ไม่รู้ว่าปวดท้องเพราะอะไร เรามีวิธีการเช็คโรคจากอาการปวดท้องมาบอก...
- ปวดท้องด้านขวาตอนบน ความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้อง มักเกิด จากโรคตับและถุงน้ำดี
- ปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร แอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลงมา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาการไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้เช่นเดียวกัน บางครั้งโรคต่างๆที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่เป็นแอ่งได้
- ปวดท้องส่วนกลาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุมาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มขึ้นที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง
- ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นหมายถึงอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ
- ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน อาการอักเสบของลำไส้
- ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกันพร้อมกับ อาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis)
- ปวดท้องด้านขวาตอนบน ความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้อง มักเกิด จากโรคตับและถุงน้ำดี
- ปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร แอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลงมา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาการไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้เช่นเดียวกัน บางครั้งโรคต่างๆที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่เป็นแอ่งได้
- ปวดท้องส่วนกลาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุมาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มขึ้นที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง
- ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นหมายถึงอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ
- ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน อาการอักเสบของลำไส้
- ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกันพร้อมกับ อาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis)
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เร่งการเผาผลาญด้วยการดื่มน้ำ
ในร่างกายของเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกาย แต่ทำไมดื่มน้ำเป็นลิตรจึงไม่อ้วน แถมการดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยลดไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่เราทราบกันดี แต่ดื่มน้ำยังช่วยในการละลายไขมันอีกด้วย เพราะตามปกติแล้วการดื่มน้ำในปริมาณที่ร่างกายต้องการ จะช่วยให้ตับทำงานได้เต็มที่ ซึ่งหน้าที่หลักของตับนั้นก็จะช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ตามซอกหลืบของร่างกายให้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้ และน้ำก็ยังเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยให้การเผาผลาญไขมันดีขึ้น แต่ถ้าร่างกายขาดน้ำ ก็จะทำให้ตับทำงานไม่เต็มที่ การเผาผลาญไขมันก็ลดลงด้วย
การดื่มน้ำน้อยจึงส่งผลให้การเผาผลาญไขมันทำได้น้อย อาหารที่กินเพิ่มเข้าไป จะไปเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการพยายาม ดื่มน้ำให้มากขึ้นอีกนิด เพื่อช่วยลดการสะสมของไขมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจใช่ไหมคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)